Loading

#ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และงานแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน

#ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง : ความสำคัญและแนวทางการจัดเก็บ

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง : ความสำคัญและแนวทางการจัดเก็บ

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นภาษีที่จัดเก็บจากเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามมูลค่าทรัพย์สิน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างรายได้ให้แก่หน่วยงานท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปใช้ในการพัฒนาสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะ อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถนน ไฟฟ้า ประปา รวมถึงโครงการสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภาษีนี้ในประเทศไทยคือ พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 เป็นต้นมา โดยมาแทนที่ภาษีโรงเรือนและที่ดิน รวมถึงภาษีบำรุงท้องที่ที่เคยใช้ก่อนหน้านี้

การจัดเก็บภาษีนี้แบ่งประเภทของทรัพย์สินออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม – ที่ดินที่ใช้ทำการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ หรือประกอบกิจกรรมเกษตรกรรมต่าง ๆ มีอัตราภาษีที่ต่ำกว่าประเภทอื่น เพื่อสนับสนุนภาคเกษตรกรรม
  2. ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย – ที่ดินที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยทั้งในรูปแบบบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ หรืออาคารชุด (คอนโดมิเนียม)
  3. ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม – ที่ดินที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม หรือกิจการพาณิชย์อื่น ๆ ซึ่งจะมีอัตราภาษีที่สูงกว่าประเภทอื่น
  4. ที่ดินรกร้างว่างเปล่า – ที่ดินที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ จะถูกเก็บภาษีในอัตราสูงขึ้นเรื่อย ๆ หากยังคงถูกทิ้งร้างเป็นเวลานาน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากที่ดินให้มากขึ้น

อัตราภาษีจะถูกกำหนดตามมูลค่าทรัพย์สิน โดยเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต้องชำระภาษีภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้น

 

งานแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน

แผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการบริหารจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแผนที่ภาษีจะเป็นฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ที่แสดงรายละเอียดของที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และเจ้าของกรรมสิทธิ์ ซึ่งช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถติดตามและปรับปรุงข้อมูลทรัพย์สินได้อย่างถูกต้อง

กระบวนการจัดทำแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน

  1. การสำรวจและเก็บข้อมูล – เจ้าหน้าที่จะดำเนินการสำรวจที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ โดยใช้เทคโนโลยี GIS (Geographic Information System) และภาพถ่ายทางอากาศเพื่อจัดทำแผนที่ที่มีความแม่นยำ
  2. การบันทึกข้อมูลเจ้าของทรัพย์สิน – ทรัพย์สินแต่ละแปลงจะมีการระบุข้อมูลของเจ้าของกรรมสิทธิ์ เพื่อให้สามารถติดตามและเรียกเก็บภาษีได้อย่างเป็นระบบ
  3. การกำหนดมูลค่าทรัพย์สิน – ประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อใช้ในการคำนวณภาษี โดยใช้ข้อมูลจากตลาดอสังหาริมทรัพย์และราคาประเมินจากกรมธนารักษ์
  4. การจัดทำทะเบียนทรัพย์สิน – จัดทำทะเบียนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้สามารถอ้างอิงและตรวจสอบข้อมูลได้อย่างสะดวก

ประโยชน์ของแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน

  1. เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี – ทำให้สามารถระบุผู้เสียภาษีและพื้นที่ที่ต้องเสียภาษีได้อย่างแม่นยำ
  2. ลดข้อผิดพลาดและข้อพิพาทเรื่องที่ดิน – ข้อมูลที่ถูกต้องช่วยป้องกันปัญหาการเรียกเก็บภาษีผิดพลาด
  3. ส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองอย่างเป็นระบบ – ช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคได้อย่างเหมาะสม
  4. ช่วยในการวางแผนพัฒนาเมือง – ข้อมูลจากแผนที่ภาษีสามารถใช้ในการกำหนดนโยบายพัฒนาพื้นที่ เช่น การกำหนดเขตพาณิชยกรรม ที่อยู่อาศัย และพื้นที่สีเขียว

ความท้าทายและแนวทางพัฒนา

แม้ว่าการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยใช้แผนที่ภาษีจะเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังคงมีความท้าทาย เช่น ความล่าช้าในการปรับปรุงข้อมูล การขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และการบูรณาการข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่งเสริมการใช้ระบบ GIS (Geographic Information System) จะเป็นแนวทางสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารจัดเก็บภาษี

สรุปได้ว่า
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และงานแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน เป็นองค์ประกอบสำคัญในการบริหารจัดเก็บรายได้ของท้องถิ่น และเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเมืองให้มีความเป็นระเบียบและยั่งยืน หากมีการนำเทคโนโลยีและข้อมูลที่ถูกต้องมาปรับใช้ ก็จะช่วยให้การจัดเก็บภาษีมีความเป็นธรรม โปร่งใส และสามารถนำรายได้ไปพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง
เรียบเรียงโดย สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ 30/01/2025 โดย นายธนกฤต ลาวัลย์